2552/08/06

แฮคเกอร์ถล่ม"ทวิตเตอร์"

เมื่อเช้าวันพฤหัสที่ผ่านมา เว็ปไซด์โซเชียลเน็ตเวิร์ก ทวิตเตอร์(Twitter) ที่มีผู้ใช้ทั่วโลกประมาณ 35 ล้านคน ไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลานานกว่าสามชั่วโมง รวมถึงโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก(Facebook) และไลฟ์เจอนัล(LiveJournal) โดยถูกโจมตีด้วย DoS (Denial-of-Service)



ทำให้ผู้ใช้บริการทั้งสามไซต์กว่า 300 ล้านรายไม่สามารถเข้าใช้บริการได้ DOS เป็นกลไกการโจมตี โดยแฮคเกอร์จะใช้คอมพิวเตอร์ที่อยู่ตามบ้าน และที่ทำงานที่ติดบอตเน็ต (Botnets) หรือโปรแกรมของแฮคเกอร์กว่าหลายพันเครื่องเข้าไป ให้ลุกขึ้นมาทำงานพร้อมกัน โดยร้องขอใช้บริการจากเว็บไซต์เหล่านี้อย่างหนักจนกระทั่งระบบไม่สามารถให้บริการได้

ซึ่งผู้ใช้รายหนึ่งกล่าวว่า เขารู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากเพื่อนๆ นับร้อยบนทวิตเตอร์ และหันไปใช้เฟซบุ๊ก และอีเมล์แทนในช่วงเวลาดังกล่าว

ผู้ใช้ทวิตเตอร์ทั่วโลกจะไม่สามารถใช้บริการได้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง หลังจากใช้งานได้แล้ว บริการดังกล่าวกลับไม่สามารถเข้าถึงจากทางไอโฟน หรือผู้ใช้ที่อยู่ในกลุ่มประเทศทางฝั่งยุโรปตะวันออก Stephan Tanase นักวิเคราะห์อาวุโสจา Kasperksy Lab "มันเป็นการโจมตีที่รุนแรงมาก" เขากล่าว

ทางด้านเฟซบุ๊กทีมีผู้ใช้บริการมากกว่า 250 ล้านรายจะมีผู้ใช้บางส่วนที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับประสิทธิภาพการให้บริการที่ลดลง

ส่วนไลฟ์เจอนัลทีมีผู้ใช้ 21 ล้านรายถูกตัดขาดการให้บริการเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง สำหรับการโจมตีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ต้องถือว่า ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่พบในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2000 เมื่อแฮคเกอร์วัย 15 ปีที่รู้จักกันในนาม Mafiaboy ได้สั่งให้เครือข่ายบอต (โปรแกรมเล็กๆ ที่สั่งการได้ของแฮคเกอร์ ซึ่งกระจายติดอยู่ตามคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ ที่เชื่อมต่อกันบนเน็ต) ถล่มแทรฟฟิกจนทำให้เว็บไซต์ดังๆ ในสมัยนั้นหลายแห่งอย่าง Yahoo, eBay, Amazon.com, Etrade, ZDNET และ CNN ไม่สามารถให้บริการได้

เมื่อเดือนก่อน มีการโจมตีด้วยเทคนิค DoS เช่นกัน จนทำให้เว็บไซต์ต่างๆ ของรัฐบาล รวมถึงเว็บไซต์ธุรกิจในสหรัฐ และเกาหลีใต้ต้องชะงักไป ซึ่งประเทศที่ถูกต้องสงสัยว่าน่าจะเป็นต้นเหตุของการก่อการครั้งนี้ก็คือ เกาหลีเหนือ ในการโจมตีครั้งนี้ยังได้มีการสั่งให้บ็อตกว่า 40,000 ตัวทำการลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์จนทำให้คอมพิวเตอร์ใช้งานไม่ได้อีกด้วย

Roger Thompson นักวิจัยจาก AVG บริษัทผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยบนคอมพิวเตอร์กล่าวว่า การกระทำที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ เหมือนจะเป็นความพยายามสร้างความสนใจให้ทั่วโลกหันมามองปัญหาที่เกิดจากบ็อตเน็ต ซึ่งหากคาดการณ์โดยประมาณ 40% ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเน็ต อาจตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอาชญากรคอมพิวเตอร์ ผู้สามารถเรียกใช้พวกมันให้กระทำการใดๆ ตามที่ต้องการได้

ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=409664

0 ความคิดเห็น: